ฮาลาล: มาเลเซียเป็น “คู่แข่ง” หรือ “หุ้นส่วน”

ฮาลาล: มาเลเซียเป็น “คู่แข่ง” หรือ “หุ้นส่วน”

วันที่นำเข้าข้อมูล 10 ม.ค. 2559

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 18 พ.ย. 2565

| 5,868 view
ในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา มาเลเซียแสดงความสนใจมากที่จะมีความร่วมมือด้านฮาลาลกับประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงกันมากพอสมควรในบางภาคส่วนของราชการ ธุรกิจ วิชาการ และพี่น้องชาวไทยมุสลิมว่าประเทศไทยควรจะร่วมมือกับมาเลเซียหรือไม่
   
การที่มาเลเซียสนใจที่จะร่วมมือกับประเทศไทยในเรื่องนี้ ก็เพราะมาเลเซียมองเห็นอนาคตของ ฮาลาลและได้กำหนดให้การพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาประเทศ มาเลเซียมีจุดแข็งในแง่ที่เป็นประเทศมุสลิมชั้นนำของโลก ประสบความสำเร็จในหลาย ๆ ด้านและเป็นที่ชื่นชมของโลกมุสลิม แต่ขณะเดียวกัน มาเลเซียก็มีจุดอ่อน ในแง่ที่มิได้เป็นชาติผู้ผลิตสินค้าอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญ พูดง่าย ๆ คือ มาเลเซียขาด“วัตถุดิบ” เพราะเหลือภาคการเกษตรหลักเฉพาะปาล์มน้ำมันและยางพารา
 
ดังนั้น เมื่อหันมาดูประเทศไทย ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดต่อกันและเป็นชาติผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก มาเลเซียจึงเห็นประเทศไทยว่าน่าจะเป็นหุ้นส่วนที่ดีของตน
 
ประเด็นอยู่ที่ว่าประเทศไทยมองเรื่องนี้อย่างไร เห็นความจำเป็นหรือประโยชน์ที่จะร่วมมือกับมาเลเซียหรือไม่ ถ้าเห็นประโยชน์ ความร่วมมือก็คงเกิดขึ้น
 
จนถึงขณะนี้น่าจะกล่าวได้ว่า หลายคนที่ดูแลเรื่องนี้ยังเห็นว่าประเทศไทยไม่น่าจะร่วมมือกับมาเลเซีย ไม่มีความจำเป็น และออกจะเป็นการไม่ฉลาดที่จะทำเช่นนั้น
 
คนเหล่านี้เห็นว่า จริงๆ แล้ว ประเทศไทยสามารถส่งออกสินค้าฮาลาลตรงไปยังผู้บริโภคในประเทศมุสลิมต่างๆ ได้อยู่แล้ว ดังจะเห็นได้ว่าแม้มิใช่ประเทศมุสลิม ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้า        ฮาลาลใหญ่เป็นอันดับที่ 13ของโลก และบรรดาประเทศส่งออกสินค้าฮาลาลใหญ่ๆ ของโลก ก็ล้วนแต่เป็นประเทศที่มิใช่มุสลิม (เช่น บราซิล สหรัฐฯ และอินเดีย)
 
คนที่มองเช่นนี้จะคิดว่าการไปร่วมกับมาเลเซียจะเท่ากับเป็นการ “จ่ายค่าหัวคิว” ให้กับมาเลเซีย ซึ่งเป็นการเสียประโยชน์โดยไม่จำเป็น
 
พูดง่าย ๆ ก็คือ เราคิดว่ามาเลเซียมิใช่หุ้นส่วน (partner) หากแต่เป็นคู่แข่ง (competitor) ของประเทศไทย
 
ทัศนคติข้างต้นก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ เพราะเรื่องฮาลาลเป็นผลประโยชน์ใหญ่มาก ปัจจุบันชาวมุสลิมทั่วโลกมีประชากรรวมกันถึง 1,800ล้านคน หรือราว 1 ใน 3ของประชากรโลก และในโลกมุสลิมก็มีกระแสอนุรักษ์นิยม (conservative) อยู่ ชาวมุสลิมหันมาให้ความสนใจบริโภคอาหารฮาลาลกันมากขึ้น
 
ประมาณการณ์ว่าในปัจจุบัน มูลค่าตลาดฮาลาลทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 3.2ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีศักยภาพที่จะขยายตัวอีกมาก
 
ดังนั้น เมื่อฮาลาลเป็นกลุ่มสินค้าที่หอมหวานน่าสนใจ หลายประเทศต่างก็พยายามขับเคลื่อนองคาพยพของตนเพื่อเข้าครอบครองตลาดนี้ให้ได้มากที่สุด การแข่งขันในเรื่องฮาลาลจึงมีความเข้มข้น หลายประเทศจึงมองคู่แข่งเป็นคู่แข่ง จนบ่อยครั้งได้มองข้ามไปว่าคู่แข่งก็สามารถเป็นหุ้นส่วนได้ ซึ่งในความเห็นของผู้เขียน มาเลเซียน่าจะเป็นกรณีตัวอย่างได้
 
ทำไมมาเลเซียจึงสามารถเป็น “หุ้นส่วน” ของประเทศไทยได้
 
ประการแรก ต้องยอมรับว่าความเป็นประเทศมุสลิมชั้นนำนั้น เป็นใบเบิกทาง (credential)
ที่สำคัญของมาเลเซีย มาเลเซียไม่ต้องทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์มากเท่าประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศที่มิใช่มุสลิม จริงอยู่ที่ผู้บริโภคหลายคนในประเทศมุสลิมอาจจะไม่ได้เคร่งครัดยึดมั่นในเรื่องสินค้าฮาลาลมากนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่า คนมุสลิมที่เคร่งครัดก็มีเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านี้ต้องการความมั่นใจว่าสินค้าเป็นฮาลาลที่แท้จริง
 
พูดง่าย ๆ ผู้บริโภคหลายคนในประเทศมุสลิมจะมั่นใจในความเป็นฮาลาลของสินค้าที่ผลิตจากประเทศมุสลิมมากกว่าสินค้าที่ผลิตจากประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม
 
ประการที่สอง จริงอยู่ที่ว่าประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม เช่น ประเทศไทย ก็สามารถที่จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้เช่นกัน แต่ความมั่นใจดังกล่าวต้องอาศัยการโฆษณาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรฐาน ฮาลาลอยู่มากและต้องมากกว่าประเทศมุสลิมเช่นมาเลเซีย
 
คำถามก็คือ ประเทศไทยได้ทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์เรื่องมาตรฐานฮาลาลของตนเองในประเทศมุสลิมและกับผู้บริโภคมุสลิมมากน้อยขนาดไหน ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการฮาลาลของประเทศไทยคง   ทราบดี
 
ประเด็นมิได้อยู่ที่ว่าประเทศไทยมีศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลระดับโลกหรือตราฮาลาลของไทยออกโดยคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยซึ่งมีมาตรฐานสูงมาก แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ว่าฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ทำการประชาสัมพันธ์มากน้อยขนาดไหน
 
ประการที่สาม ไม่ว่าประเทศไทยจะประสบความสำเร็จในการสร้างอุตสาหกรรมฮาลาลมาก น้อยเพียงใด แต่การที่มาเลเซียจะซื้อวัตถุดิบจากประเทศไทยเพื่อไปส่งออก (re-export) หรือไปแปรรูป แล้วติดตรา
ฮาลาลของมาเลเซีย น่าจะมองได้ว่าเป็นผลประโยชน์เสริม (added benefit) ของประเทศไทย เป็นการช่วยให้ ประเทศไทยสามารถส่งออกสินค้าฮาลาลได้มากขึ้น นอกเหนือจากที่ประเทศไทยส่งออกตรงไปยังประเทศที่สาม
 
เรื่องนี้ก็ไม่แตกต่างจากที่ฮ่องกงและสิงคโปร์ ซื้อสินค้าไปจากประเทศไทยแล้วนำไปส่งออกอีกทอดหนึ่ง โดยทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลาง ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยก็มิได้มีข้อขัดข้องในเรื่องดังกล่าว คำถามคือถ้ามาเลเซียกระทำอย่างเดียวกันสำหรับสินค้าฮาลาล เหตุใดประเทศไทยจึงจะมีข้อขัดข้อง
 
ประการที่สี่ ความร่วมมือกับมาเลเซียในเรื่องฮาลาลจะก่อประโยชน์มากต่อการพัฒนาภาคใต้ รวมทั้งต่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
การร่วมมือกับมาเลเซียจะช่วยให้ไทยส่งออกสินค้าไปยังมาเลเซีย เพื่อการส่งออก (re-export) หรือเพื่อการแปรรูปเพิ่มเติม ช่วยดึงการลงทุนจากมาเลเซียเข้ามาในประเทศไทย เพราะประเทศไทยยังมีความได้เปรียบในเรื่องวัตถุดิบ แรงงาน และต้นทุนการผลิตโดยรวมที่ยังต่ำกว่ามาเลเซีย ซึ่งก็จะเป็นการสร้างงานและรายได้ให้กับประชาชนในภาคใต้ และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ที่มีปัญหาความไม่สงบ
 
ประการสุดท้าย ในเชิงยุทธศาสตร์ ความร่วมมือกับมาเลเซียในเรื่องที่สำคัญทางเศรษฐกิจมากเช่นนี้จะเป็นการผูก  (bind) ทั้งสองประเทศเข้าด้วยกัน ช่วยการเสริมความตระหนักในผลประโยชน์ที่ทั้งสองประเทศมีอยู่ร่วมกัน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ในภาพรวม ทำนองเดียวกับความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่ทางทะเลร่วมกัน (Joint Development Area -  JDA) ซึ่งดำเนินมาด้วยดียิ่งตลอด 20ปีที่ผ่านมา ความร่วมมือด้านฮาลาลจะเป็นการสร้างเสาใหม่ที่ช่วยค้ำยันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง
 
โดยสรุป ผู้เขียนสนับสนุนที่ประเทศไทยจะเดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลอย่างจริงจังและแข็งขัน เพื่อให้สินค้าฮาลาลของไทยสามารถครองตลาดโลกได้มากขึ้น และหากประเทศไทยสามารถ “ขายตรง”ให้กับตลาดสำคัญๆ ได้ ก็ยิ่งดี แต่ขณะเดียวกัน ผู้เขียนก็เห็นว่า มาเลเซียเป็นประเทศหนึ่งที่จะเป็นหุ้นส่วนที่ดีของประเทศไทยในอุตสาหกรรมฮาลาลได้ การเป็นหุ้นส่วนกับมาเลเซียจะเป็นประโยชน์เสริม (added benefit) ของประเทศไทย และจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของภาคใต้โดยรวม ดังนั้น เราจึงควรเปิดใจกว้างและพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ
 
บทความโดย :
ดำรง ใคร่ครวญ  เอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
ดวงตา ทองสกุล และอภิษฎา คุณาพรธรรม ข้าราชการ นปร. ระหว่างการฝึกปฏิบัติงานที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์